พิธีมิสซาบูชาขอบพระคุณ
หนังสือศรัทธาเล่มนี้ แปลจาก The Holy Mass
โดย แคทาลีน่า รีวาซ ผู้บันทึกเรื่องราว
ภายหลังได้รับคำอธิบายจากพระเยซูเจ้าและแม่พระ
ในเรื่อง ธรรมล้ำลึกของมิสซา
ภราดา แดเนียล แกญัง (OMI
กรรมการผู้ดูแลรับผิดชอบเกี่ยวกับข้อความเชื่อและศีลธรรม ของ อัครสังฆมณฑล เม็กซิโก
ได้ทำการตรวจสอบ และไม่พบข้อความใดที่ขัดต่อข้อความเชื่อและธรรมประเพณีของพระศาสนจักร
โดย พระสังฆราชเรเน่ เฟอร์นันเดช อปาชา เป็นผู้ลงนามอนุมัติให้ตีพิมพ์เผยแพร่
แคทาลีน่า รีวาซ
อาศัยอยู่ใน โกชาบัมบา ประเทศโบลิเวีย
เป็นแม่บ้าน
การศึกษาระดับมัธยมต้น และไม่มีพื้นฐานด้านศาสนาหรือเทววิทยาเลย
โกชาบัมบา มีพระรูปพระคริสตเจ้ากันแสงเป็นเลือด
ในปี ค.ศ.1993 เธอได้เปิดใจรับพระเมตตาจากพระและกลับใจ
ซึ่งน่าจะเป็นช่วงเวลาที่แคทาลีน่า เริ่มได้รับสารจากพระเยซูเจ้าและแม่พระ
ปี ค.ศ.1994 แคทาลีน่า รีวาซ ได้ไปแสวงบุญ ที่ คอนเยอร์ส จอร์เจีย
ในโอกาสวาระครบรอบ การประจักษ์ของแม่พระ ปีที่ 13
ในระหว่างที่เธอคุกเข่า ถวายตัวอยู่ต่อหน้ากางเขน ที่ โฮลี่ฮิลล์ นั้น
เธอเริ่มได้รับความเจ็บปวดจากการถูกตรึงกางเขนของพระคริสตเจ้า
ต่อมาในปี ค.ศ.1996 รอยแผลศักดิ์สิทธิ์ที่มือ เท้า และสีข้างของเธอได้ปรากฏให้เห็น
แคทาลีน่า รีวาซ
ร่ำเรียนมาน้อย แต่ในระหว่างสามปีที่เธอได้รับสารจากเบื้องบนให้จดตามนั้น
เธอสามารถเขียนหนังสือได้ถึงแปดเล่ม หรือราว 4,000-5,000 หน้า
โดยไม่มีข้อผิดพลาด ด้านเทววิทยา สังคมศาสตร์ ชีวิตมนุษย์ และคำสอนฝ่ายจิต จากพระเป็นเจ้า
หนังสือของเธอได้รับการรับรองจากพระสังฆราชท้องถิ่นทุกเล่ม
วันที่ 4 เมษายน ค.ศ.1999 ซึ่งตรงกับวันศุกร์ศักดิ์สิทธิ์
ทีมงานฟ็อกซ์ ได้บันทึกเรื่องราวที่เธอได้รับรอยแผลศักดิ์สิทธิ์
และได้นำเทปวีดิทัศน์ เรื่อง พระรูปพระคริสตเจ้ากันแสงเป็นเลือด
มาออกอากาศในอเมริกาเหนือ ออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ ในช่วงเวลาที่มีผู้ชมมากที่สุด
แคทาลีน่า รีวาซ เป็นพยานเรื่องมิสซา
• เพื่อเทิดพระเกียรติมงคลของพระเป็นเจ้า และเพื่อความรอดของผู้ต้องการเปิดใจรับพระองค์
• เพื่อให้เราหลุดพ้นจาก “การรับพระองค์ด้วยความเคยชิน”
• เพื่อให้ความน่าพิศวง ของ พิธีมิสซาบูชาขอบพระคุณ ติดตรึงอยู่ในจิตใจของเราตลอดไป....
วันนั้น...
เป็น วันเตรียมสมโภชการแจ้งสาร เรื่อง พระวจนาตถ์ทรงรับสภาพมนุษย์
ฉันไปถึงวัดสายไปนิด
ตอนที่พระอัครสังฆราช ผู้เป็นประธานในพิธี และบรรดาพระสงฆ์ ตั้งขบวนออกมาจากห้องสักการภัณฑ์แล้ว
แม่พระ กล่าวด้วยน้ำเสียงนุ่นนวลไพเราะจับจิต ดังนี้
“วันนี้ เป็นวันที่ลูกจะได้รับความรู้
และแม่อยากให้ลูกเอาใจใส่ให้ดี กับสิ่งที่ลูกจะได้ รู้ เห็น เป็นพยาน
ลูกควรเล่าทุกอย่างที่ลูกจะรู้ ผ่านประสบการณ์ในวันนี้ให้ทุกคนฟัง”
เสียงแรกที่ได้ยินเป็นแว่วเสียงประสานที่ไพเราะยิ่ง ราวกับขับขานอยู่ไกลลิบ
เสียงเพลงเริ่มดังใกล้เข้ามา แล้วก็เลือนหายไปราวสายลม
พระอัครสังฆราช เริ่มพิธีมิสซาแล้ว
พอถึงช่วง การสารภาพความผิด
แม่พระกล่าวว่า
“ลูกจงขอการอภัยจากองค์พระผู้เป็นเจ้า จากส่วนลึกของหัวใจ
ในความผิดบกพร่องทั้งหลายที่ลูกได้กระทำล่วงเกินพระองค์
เพื่อลูกจะได้ร่วมมิสซาอันทรงเกียรตินี้อย่างคู่ควร”
ฉันคิดอยู่แวบหนึ่ง
‘ฉันอยู่ในสถานะพระหรรษทานแน่ ก็ฉันเพิ่งไปแก้บาปมาเมื่อคืน’
แม่พระ ตอบ
“ลูกคิดหรือว่า ลูกไม่ได้ล่วงเกินองค์พระผู้เป็นเจ้าอีก
หลังจากแก้บาปมาเมื่อคืน ให้แม่ทบทวนความจำให้ลูกสักนิดเถิด
•ตอนลูกเร่งออกจากบ้านจะมาวัด เด็กรับใช้เข้ามาขออะไรบางอย่างจากลูก
พอดีลูกกำลังรีบ จึงตอบเธอไปด้วยน้ำเสียงไม่สู้ดีนัก ลูกขาดความเมตตา
แล้วลูกกลับบอกว่า ลูกมิได้ล่วงเกินพระเป็นเจ้ากระนั้นหรือ...
•แล้วระหว่างทางมาวัด ลูกโดนรถเมล์ขับปาดหน้าเกือบชนลูก
ลูกได้แสดงกิริยาที่ไม่สมควรต่อชายคนนั้น
แทนที่จะสวดภาวนาและเตรียมตัวเข้ามิสซา
ลูกไม่อยู่ในศีลในพร จิตใจขาดความสงบ ไม่รู้จักหักห้ามใจ
แล้วลูกกลับมาบอกว่า ลูกมิได้ทำร้ายองค์พระผู้เป็นเจ้ากระนั้นหรือ...
•ลูกมาถึงเอาตอนที่พระสงฆ์ตั้งขบวนเข้าพิธีแล้ว
ลูกกำลังไปร่วมมิสซาโดยไม่มีการเตรียมตัวล่วงหน้าเลย...
“ทำไมนะ ลูกๆ ถึงได้มากันตอนนาทีสุดท้าย ลูกควรมาถึงวัดให้เร็วขึ้น เพื่อจะได้ภาวนาวอนขอองค์พระผู้เป็นเจ้า ให้ส่งพระจิตของพระองค์ลงมาประทานความสำรวมใจให้ลูก และชำระลูกให้ปลอดจากจิตของโลก จากความวิตกกังวล จากปัญหาและความวอกแวก เพื่อลูกจะได้อยู่กับห้วงเวลาที่แสนศักดิ์สิทธิ์นี้สักชั่วขณะ แต่ลูกมาถึงเอาตอนที่พระสงฆ์จวนเริ่มพิธีแล้ว แล้วลูกร่วมมิสซาอย่างกับเป็นเหตุการณ์ปกติ โดยไม่มีการเตรียมจิตใจ เพราะเหตุใดกัน นี่เป็นอัศจรรย์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ลูกกำลังอยู่ในช่วงที่พระเจ้าสูงสุดประทานพระพรอันใหญ่ยิ่งของพระองค์แก่ลูก แต่ลูกกลับไม่รู้จักเห็นคุณค่าของมิสซา”
ฉันรู้สึกแย่เอามากๆ เพียงไม่กี่เรื่องนี้ ก็สมควรขอการอภัยจากพระเป็นเจ้าอย่างยิ่งแล้ว มิใช่เฉพาะความผิดบกพร่องของวันนั้น แต่สำหรับทุกครั้งที่ฉันรอเข้าวัด ตอนที่พระสงฆ์เทศน์จบเหมือนกับคนอื่นๆ ฉันขอโทษพระองค์ ที่บางครั้งฉันไม่ยอมรับรู้ว่าฉันมาร่วมมิสซาทำไม เป็นไปได้ว่าฉันกล้าไปร่วมมิสซา ทั้งๆ ที่วิญญาณอาจเต็มไปด้วยบาปหนัก
วันนั้นเป็นวันสมโภช พอถึงตอนสวดบทพระสิริรุ่งโรจน์ แม่พระตรัสดังนี้
“จงสรรเสริญพระตรีเอกภาพ และถวายพระพรแด่พระองค์ ด้วยความรักทั้งหมดที่ลูกมี เพื่อเป็นการแสดงความขอบคุณในฐานะที่ลูกเป็นสิ่งสร้างของพระองค์คนหนึ่ง”
บทพระสิริรุ่งโรจน์คราวนั้นช่างต่างจากเดิมเสียนี่กระไร!
ทันใดนั้น ฉันเห็นตัวฉันเองในสถานที่สว่างไสวไกลโพ้นเฉพาะพระพักตร์พระเป็นเจ้า ฉันโมทนาพระคุณพระองค์ด้วยความรักเต็มเปี่ยม
“ขอสรรเสริญพระองค์ ขอถวายพระพรแด่พระองค์ ขอกราบนมัสการพระองค์ ขอถวายพระเกียรติแด่พระองค์ ขอขอบพระคุณพระองค์ เพราะพระองค์ทรงพระเกียรติเลอเลิศ พระเจ้าข้า พระองค์คือพระราชาสวรรค์ พระเป็นเจ้า พระบิดา ทรงสรรพานุภาพ”
แล้วฉันก็รำลึกถึงพระพักตร์ที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความอ่อนโยนของพระบิดา
“ข้าแต่พระเยซูคริสตเจ้า พระบุตรแต่องค์เดียว พระเจ้าข้า พระองค์คือพระบุตรพระบิดา ทรงเป็นลูกแกะของพระเจ้า ผู้พลีพระชนม์เพื่อยกบาปของโลก...”
และพระเยซูเจ้าประทับเบื้องหน้าฉัน พระพักตร์พระองค์เปี่ยมด้วยความเมตตากรุณา...
“ข้าแต่พระเยซูคริสตเจ้า พระองค์ผู้เดียวศักดิ์สิทธิ์ พระองค์ผู้เดียวทรงเป็นเจ้า พระองค์ผู้เดียวสูงสุด ร่วมกับพระจิต...”
พระเจ้าแห่งความรักล้ำเลิศ พระองค์ผู้ซึ่งในขณะนั้นทำให้ฉันสะท้านไปทั่งสรรพางค์... แล้วฉันก็วอนขอ
“พระเจ้าข้า โปรดช่วยให้ลูกพ้นจากพยศชั่วทั้งหลาย หัวใจของลูกเป็นของพระองค์ โปรดประทานสันติสุขของพระองค์แก่ลูกเถิด ลูกจะได้สามารถรับประโยชน์อันล้ำเลิศจากศีลมหาสนิท และชีวิตของลูกจะได้บังเกิดผลสูงสุด พระจิตแห่งพระเจ้า โปรดเปลี่ยนสภาพของลูก โปรดทรงงานในตัวลูก โปรดนำทางลูก ข้าแต่พระเจ้า โปรดประทานพระพรแก่ลูก เพื่อลูกจะได้ปรนนิบัติรับใช้พระองค์ได้ดียิ่งขึ้น!”
พอถึง ภาควจนพิธีกรรม แม่พระให้ฉันกล่าวตามดังนี้
“พระเจ้าข้า วันนี้ลูกปรารถนาจะฟังพระวาจาของพระองค์ แล้วนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์มากที่สุด โปรดให้พระจิตของพระองค์ชำระจิตใจของลูก เพื่อให้พระวาจาของพระองค์จำเริญงอกงามขึ้นภายใน และบันดาลให้จิตใจของลูกมีแต่เจตนาอันดีงาม”
แม่พระตรัส “แม่อยากให้ลูกตั้งใจฟังบทอ่าน และบทเทศน์ของพระสงฆ์ให้ดี ระลึกไว้เถิดว่า พระคัมภีร์กล่าวไว้ว่า พระวาจาจากพระโอษฐ์ของพระเจ้าจะไม่กลับมาไร้ผล (เทียบ อสย.55:11) ถ้าลูกเอาใจใส่ บางสิ่งที่ลูกได้ยินมา จะดำรงอยู่กับลูก ลูกควรพยายามรำลึกถึงพระวาจาที่ทำให้ลูกประทับใจเหล่านั้นไปตลอดวัน บางครั้งมีสองข้อ ครั้งอื่นอาจเป็นบทอ่านพระวรสารทั้งหมด หรืออาจเป็นแค่คำเพียงคำเดียว จงชื่นชมกับข้อคิดที่ได้ไปตลอดวัน แล้วถ้อยคำนั้นจะเป็นส่วนหนึ่งของลูก เพราะนั่นเป็นลู่ทางที่เปลี่ยนชีวิตคนเรา โดยการยินยอมให้พระวาจาของพระเป็นเจ้าเปลี่ยนลูก... ถึงตอนนี้ จงบอกองค์พระผู้เป็นเจ้าว่าลูกพร้อมจะฟังแล้ว บอกพระองค์ว่าลูกอยากให้พระองค์ตรัสในจิตใจของลูกวันนี้”
ฉันขอบคุณพระเป็นเจ้าอีกครั้ง ที่ให้ฉันมีโอกาสได้ฟังพระวาจาของพระองค์ และฉันวอนขอให้พระองค์ยกโทษให้ฉันด้วย ที่ฉันทำใจแข็งมานานหลายปี ทั้งยังสอนลูกๆ อีกว่า พวกเขาต้องไปวัดวันอาทิตย์ เพราะเป็นข้อกำหนดของพระศาสนจักร และไม่ได้บอกลูกๆ ว่าให้ไปวัดเพราะรักพระ และต้องการให้พระเติมเต็มชีวิตเขา
ฉันไปร่วมพิธีมิสซาบ่อยมาก ส่วนใหญ่ไปเพราะปฏิเสธไม่ได้ และเพราะเหตุนี้เอง ฉันจึงเชื่อว่าฉันรอดแน่ แต่จิตใจไม่ได้เข้าถึงพิธีกรรม แล้วก็ไม่ได้ตั้งใจฟังบทอ่านหรือบทเทศน์ของพระสงฆ์เลย ! เป็นความรู้สึกที่เจ็บปวดนัก เมื่อความไม่รู้ทำให้ฉันต้องเสียเวลาไปนานหลายปีโดยใช่เหตุ !
เราไปร่วมมิสซาอย่างฉาบฉวย เวลาที่เราไปเพราะมีพิธีแต่งงาน มีมิสซาปลงศพ หรือไปเพียงเพื่อออกงานสังคม เราไม่ได้รู้เรื่องของพระศาสนจักรและศีลศักดิ์สิทธิ์เลย เรามัวแต่สอนตัวเองให้รู้แจ้งเกี่ยวกับเรื่องทางโลกวัตถุที่ล่วงเสียไปได้ในพริบตา แล้วก็มิได้ต่อชีวิตคนเราให้ยืนยาวออกไปได้สักนาที แต่เราผู้เรียกตัวเองว่าเป็นมนุษย์ผู้เจริญแล้ว กลับไม่รู้เรื่องที่ทำให้เราได้ลิ้มรสสวรรค์บนแผ่นดิน อันเป็นชีวิตนิรันดรต่อภายหลัง !
ครู่ต่อมา ถึงภาคถวาย แม่พระให้ฉันสวดตามดังนี้
“พระเจ้าข้า ลูกขอถวายทุกสิ่งที่ลูกเป็น ทุกสิ่งที่ลูกมี ทุกสิ่งที่ลูกสามารถถวายได้ ลูกขอมอบทั้งหมดไว้ในพระหัตถ์ของพระองค์ โปรดรวบรวมสิ่งเหล่านี้พร้อมกับความต่ำต้อยของลูกเถิด พระเป็นเจ้าผู้ทรงสรรพานุภาพ โปรดเปลี่ยนลูกด้วยเดชะพระบารมีของพระบุตรของพระองค์ ลูกอ้อนวอนพระองค์เพื่อครอบครัวของลูก เพื่อผู้มีพระคุณต่อลูก เพื่อผู้แพร่ธรรมของเราแต่ละคน เพื่อทุกคนที่ต่อต้านเรา เพื่อบรรดาผู้ที่มอบตัวเขาไว้ในคำภาวนาที่ด้อยคุณภาพของลูก โปรดสอนให้ลูกมีความไว้วางใจอย่างสิ้นสุดจิตใจก่อนเถิด เพื่อว่าการดำเนินชีวิตของท่านเหล่านั้นจะได้รับความบรรเทา... นี่คือวิธีที่ผู้ศักดิ์สิทธิ์ภาวนา นี่คือวิธีที่แม่อยากให้ลูกทุกคนทำ”
ทันใดนั้น มีลักษณะบางอย่างที่ฉันไม่เคยเห็นมาก่อน เริ่มลุกขึ้นยืน ราวกับมีอีกคนแยกออกมาจากด้านข้างของแต่ละคนที่อยู่ในอาสนวิหาร แล้วไม่ทันไร ที่นั่นก็เต็มไปด้วยผู้คนอ่อนวัยและงดงาม พวกเขาสวมชุดขาวยาว แล้วเริ่มเคลื่อนไปยังช่องทางเดิน ตรงไปยังพระแท่น
แม่พระตรัส “ดูให้ดีเถิด พวกเขาคืออารักขเทวดาของแต่ละคนที่อยู่ ณ ที่นี้ นี่เป็นช่วงที่อารักขเทวดาของลูกๆ นำของถวายและคำวิงวอนของลูกไปยังแท่นบูชาของพระเจ้า”
ฉันถึงกับตะลึง เทวดาเหล่านี้มีใบหน้าที่งดงามเพริศแพร้ว ซึ่งค่อนไปทางใบหน้าผู้หญิง แต่ทว่าเค้าโครงรูปร่าง มือ และส่วนสูง มีลักษณะเป็นชาย เท้าเปล่าไม่แตะพื้น แค่ราวกับร่อนไปมากกว่า ขบวนที่เคลื่อนไปนั้นงดงามมาก บางองค์ถือบางอย่างเหมือนขันทองที่มีอะไรบางอย่างเปล่งแสงสีทองเรื่อๆ
แม่พระตรัส “พวกเขาคืออารักขเทวดาของคนที่ถวายมิสซานี้เพื่อจุดประสงค์ต่างๆ เป็นของคนซึ่งตระหนักรู้ถึงความหมายของมิสซานี้ เขาเหล่านั้นมีของมาถวายพระเจ้า... จงถวายตัวลูกในช่วงนี้ ถวายความทุกข์ ความเจ็บปวด ความหวัง ความเศร้า ความเบิกบานยินดี คำอ้อนวอนต่างๆ จงระลึกไว้เถิดว่ามิสซามีคุณค่ามหาศาล ลูกจึงควรมีน้ำใจดีที่จะถวายและวอนขอ”
เทวดาที่อยู่ถัดจากองค์แรกๆ มามือเปล่า แม่พระตรัสว่า
“เทวดาเหล่านั้นเป็นอารักขเทวดาของคนที่มาที่นี่ แต่ไม่เคยถวายอะไร เขาเหล่านั้นไม่ได้ร่วมส่วนในช่วงพิธีกรรม แล้วก็ไม่มีของบรรณาการที่จะนำมาถวายหน้าแท่นบูชาของพระเจ้า”
ท้ายขบวนนั้น มีบรรดาเทวดาที่ออกจะหน้าเศร้ากว่าเพื่อน พนมมือภาวนา แต่หลบสายตาลงต่ำ
“เทวดาเหล่านี้เป็นอารักขเทวดาของคนที่ฝืนใจมาร่วมมิสซา นั่นก็คือคนที่ถูกบังคับให้มา คนที่มาเพราะเป็นวันฉลองบังคับ แต่ไม่ได้อยากมา เทวดาเหล่านั้นเดินไปยังพระแท่นอย่างเศร้าสร้อย เพราะไม่มีอะไรที่จะนำไปถวาย นอกจากคำภาวนาของพวกเขาเองเท่านั้น...
อย่าทำให้อารักขเทวดาของลูกเศร้าเสียใจเลยนะ จงวอนขอให้มาก วอนขอเพื่อให้คนบาปกลับใจ เพื่อสันติภาพของโลก เพื่อครอบครัวของลูก เพื่อเพื่อนบ้านของลูก เพื่อผู้ที่ขอคำภาวนาจากลูก จงขอ...ขอให้มาก...แต่มิใช่เพื่อตัวลูกเองเท่านั้น แต่เพื่อผู้อื่นด้วย... จงระลึกไว้เถิดว่า ของถวายที่พระเจ้าโปรดปรานที่สุด คือการที่ลูกถวายตัวของลูกเองเป็นเครื่องบูชา เพื่อว่าเมื่อพระเยซูเจ้าทรงถ่อมองค์ลงมา พระองค์จะได้เปลี่ยนสภาพลูกด้วยเดชะพระบารมีของพระองค์ ตัวลูกเองนั้นมีสิ่งใดจะถวายแด่พระบิดาเจ้าหรือ ไม่มีอะไรเลย นอกจากบาป แต่การถวายตัวลูกร่วมกับบุญกุศลของพระเยซูเจ้าต่างหาก ที่ทำให้ของถวายนั้นเป็นที่สบพระทัยพระบิดา”
ภาพขบวนเทวดาที่แลเห็นนั้นงดงามเหลือจะเปรียบปาน ชาวสวรรค์เหล่านั้นคำนับลงหน้าพระแท่น บางองค์วางของถวายไว้ที่พื้น บางองค์ก้มกราบจนศีรษะเกือบจรดพื้น แล้วทันทีที่พวกเขาเดินไปถึงพระแท่น พวกเขาก็หายวับไปกับตา
พอถึงช่วงท้ายของบทขอบพระคุณ เมื่อผู้มาร่วมชุมนุมกล่าว “ศักดิ์สิทธิ์ ศักดิ์สิทธิ์ ศักดิ์สิทธิ์” ทุกอย่างที่อยู่เบื้องหลังพระสงฆ์ผู้ประกอบพิธีก็อันตรธานหายไปในบัดดล นิกรเทวดาจำนวนหลายพัน ปรากฏองค์เป็นแนวทแยงด้านหลังทางซ้ายมือของพระอัครสังฆราช ทุกองค์สวมชุดยาว คุกเข่าลง พนมมือในท่าภาวนา และก้มศีรษะแสดงความเคารพ ฉันได้ยินเสียงเพลงอันไพเราเสนาะโสต ราวกับมีนิกรเทวดาหลายหมู่เหล่ามาร่วมขับเพลงประสานเป็นเสียงเดียวกับมนุษย์ว่า... ศักดิ์สิทธิ์ ศักดิ์สิทธิ์ ศักดิ์สิทธิ์...
ภาคบทขอบพระคุณ เป็นช่วงมหัศจรรย์ยิ่ง เบื้องหลังทางขวามือของพระอัครสังฆราชนั้น มีฝูงชนกลุ่มใหญ่ปรากฏกายขึ้นเป็นแนวทแยง พวกเขาสวมชุดยาวสีเฉดอ่อนหลากสี ใบหน้ามีสง่าราศี ดูราวกับพวกเขาอยู่ในวัยเดียวกัน พวกเขาคุกเข่าลงด้วย ตอนขับร้อง “ศักดิ์สิทธิ์ ศักดิ์สิทธิ์ ศักดิ์สิทธิ์ พระเจ้าจอมจักรวาล...”
แม่พระตรัสดังนี้
“พวกเขาคือบรรดานักบุญ และผู้ศักดิ์สิทธิ์ชาวสวรรค์ และในท่ามกลางพวกเขาเหล่านั้น คือญาติพี่น้องของลูกที่ได้ชื่นชมพระบารมีพระเป็นเจ้าแล้ว”
แล้วฉันก็เห็นแม่พระทางด้านขวาของพระอัครสังฆราช ห่างจากท่านก้าวหนึ่ง พระแม่ลอยอยู่เหนือพื้นเล็กน้อย คุกเข่าอยู่บนพัสตราภรณ์บางใส ช่วงโชติเหมือนผืนน้ำที่ใสเหมือนผลึก แม่พระพนมมือ มองมายังพระอัครสังฆราชอย่างสำรวม และอย่างยกย่องให้เกียรติ แม่พระตรัสกับฉันทางจิตจากตรงนั้นโดยมิได้มองมาทางฉัน
“ลูกแปลกใจใช่ไหม ที่เห็นแม่อยู่เบื้องหลังพระคุณเจ้า (พระอัครสังฆราช) นี่คือสิ่งที่ควรเป็น... พระบุตรทุ่มเทความรักให้แม่ก็จริง แต่พระองค์มิได้ประทานศักดิ์ศรี ให้สองมือแม่สำแดงอัศจรรย์ทุกวันเหมือนอย่างพระสงฆ์ แม่จึงยกย่องพระสงฆ์อย่างยิ่ง และให้เกียรติแก่อัศจรรย์ที่พระเป็นเจ้าทางดำเนินการผ่านพระสงฆ์ ซึ่งทำให้แม่จำเป็นต้องคุกเข่าอยู่ตรงนี้เบื้องหลังท่าน”
เราบางคนไม่ได้สำนึกด้วยซ้ำไปว่า องค์พระผู้เป็นเจ้าประทานศักดิ์ศรี และพระหรรษทานแก่พระสงฆ์มากมายขนาดไหนในเรื่องนี้
หน้าพระแท่นปรากฏเงาทึมๆ ของผู้คนที่ชูมือขึ้น แม่พระตรัสดังนี้
“บุคคลเหล่านี้คือวิญญาณในไฟชำระ ผู้รอรับคำภาวนาจากลูกเพื่อชุบชูวิญญาณ อย่าหยุดสวดให้เขาเหล่านั้น พวกเขาสวดให้ลูก แต่ไม่สามารถสวดให้ตัวเองได้ ลูกนั่นแหละที่ควรสวดให้พวกเขา เพื่อช่วยพวกเขาให้พ้นจากไฟชำระเร็วขึ้น จะได้ไปอยู่กับพระเป็นเจ้า และชื่นชมพระองค์ไปตลอดนิรันดร”
“ทีนี้ลูกก็เห็นแล้วสินะว่า แม่อยู่ที่นี่ตลอดเวลา ผู้คนพากันไปจาริกแสวงบุญเพื่อแสวงหาแม่ในสถานที่ที่แม่เคยไปประจักษ์ ก็เป็นเรื่องดี เพราะเขาได้รับพระหรรษทานานัปการที่นั่น แต่ระหว่างที่แม่มิได้ประจักษ์นั้น ไม่มีที่ไหนที่แม่อยู่มากไปกว่าระหว่างพิธีมิสซา ลูกจะพบแม่ได้เสมอที่เชิงพระแท่นที่กำลังมีพิธีมิสซา ที่ฐานของตู้ศีล แม่อยู่ตรงนั้นพร้อมกับเทวดา เพราะแม่อยู่กับพระองค์เสมอ”
การได้ชื่นชมพระพักตร์พระแม่ในช่วงที่กล่าวคำว่า ‘ศักดิ์สิทธิ์ ศักดิ์สิทธิ์ ศักดิ์สิทธิ์...’ อีกทั้งได้เห็นดวงหน้าอื่นๆ ที่บ่งบอกถึงความสุข พนมมือรอคอยอัศจรรย์ที่เกิดซ้ำแล้วซ้ำเล่าอย่างต่อเนื่องนั้น เหมือนได้อยู่ในสวรรค์ไม่มีผิด แล้วฉันก็นึกถึงคนที่วอกแวกพูดคุยกับในช่วงเวลานั้น
ฉันเสียใจที่ต้องบอกท่านว่า ผู้ชายส่วนใหญ่ชอบยืนกอดอก ราวกับเขาแสดงความเคารพต่อองค์พระผู้เป็นเจ้า ในระดับเดียวกับที่แสดงความเคารพต่อมนุษย์คนอื่นๆ
แม่พระตรัสดังนี้ “จงบอกทุกคนด้วยว่า ไม่มีผู้ใดจะยิ่งใหญ่ไปกว่าผู้ที่รู้จักคุกเข่าลงเฉพาะพระพักตร์พระเป็นเจ้า”
พระอัครสังฆราชกล่าว บทเสกศีล
ท่านเป็นคนร่างสูงปานกลาง แต่ท่านเริ่มสูงขึ้นในบัดดล ท่านเปี่ยมไปด้วยแสงสว่าง มีแสงเหนือธรรมชาติสีทองเรื่อๆ โอบคลุมท่าน และส่งประกายเจิดจ้าบริเวณใบหน้า ฉันจึงมองไม่เห็นเด่นชัด ฉันเห็นมือท่านตอนที่ท่านยกแผ่นศีล และที่หลังมือของท่านปรากฏรอยตำหนิที่ส่งแสงเจิดจ้าออกมา
เป็นพระเยซูเจ้านั่นเอง !
เป็นเพราะองค์เองที่สวมร่างของพระอัครสังฆราช ราวกับพระองค์โอบมือท่านไว้ด้วยความรัก
ในชั่วขณะนั้นเอง แผ่นศีลเริ่มขยายใหญ่ขึ้น เป็นแผ่นศีลขนาดมหึมา และในแผ่นศีลนั้นปรากฏพระพักตร์พระเยซูเจ้า ผู้ซึ่งกำลังมองมายังประชากรของพระองค์
ฉันก้มศีรษะลงโดยสัญชาตญาณ แล้วแม่พระตรัสดังนี้
“อย่ามองลง จงเงยหน้าขึ้นมองพระองค์ พิจารณาพระองค์ สบตาพระองค์ แล้วสวดบทภาวนาของฟาติมาตามแม่ดังนี้
‘ข้าแต่พระเจ้า ลูกเชื่อในพระองค์ ลูกนมัสการพระองค์ ลูกวางใจในพระองค์ และลูกรักพระองค์ ลูกกราบสมาโทษแทนคนที่ไม่เชื่อในพระองค์ ไม่นมัสการพระองค์ ไม่วางใจในพระองค์ และไม่รักพระองค์...’
แล้วบอกพระองค์ตอนนี้ว่าลูกรักพระองค์มากแค่ไหน แล้วขอให้ลูกถวายบังคมต่อจอมกษัตริย์”
ฉันบอกพระองค์ตามนี้ และราวกับพระองค์ทางมองจากแผ่นศีลขนาดใหญ่มาที่ฉันคนเดียว แต่ฉันทราบมาว่า พระองค์ทรงมองแต่ละคนในลักษณะเดียวกันนี้ด้วยความรักเต็มเปี่ยม ฉันซบหน้าลงจรดพื้นเหมือนกับที่เทวดาและผู้ศักดิ์สิทธิ์ทุกองค์ทำ พอท่านอัญเชิญแผ่นศีลลง แผ่นศีลก็กลับเป็นขนาดเท่าเดิม ฉันน้ำตาไหลแอบแก้ม ไม่อาจกลั้นความอัศจรรย์ใจไว้ได้
พระอัครสังฆราชกล่าวเสกเหล้าองุ่นต่อทันที ช่วงที่กล่าวอยู่นั้น ปรากฏสายฟ้าแลบจากเบื้องบนและพื้นหลัง กำแพงกับเพดานโบสถ์หายลับไป ทุกอย่างมืดสนิท เหลือแต่แสงโชติช่วงจากพระแท่น
ทันใดนั้น ฉันเห็นภาพพระเยซูเจ้าถูกตรึงกางเขน ลอยอยู่กลางอากาศ ฉันเห็นพระองค์แค่ครึ่งองค์ ถึงบริเวณใต้ทรวงอก มือขนาดใหญ่และทรงพลังประคองลำแสงที่ไขว้กันนั้นอยู่ จากด้านในของลำแสงที่โชติช่วงนั้น มีแสงเล็กๆ เหมือนกับนกพิราบ ที่ส่งประกายเจิดจรัส กระพือปีกบินไปรอบโบสถ์ แล้วมาเกาะอยู่ที่บ่าซ้ายของพระอัครสังฆราชที่ยังเห็นเป็นพระเยซูเจ้าอยู่
ที่ฉันแยกแยะออก ก็เพราะพระเกศายาวสลวยของพระองค์ รอยแผลเปล่งแสงที่เห็นได้ชัดของพระองค์ และพระวรกายของพระองค์ แต่ฉันมองไม่เห็นพระพักตร์พระองค์
เหนือขึ้นไปคือพระเยซูถูกตรึงกางเขน พระเศียรเอนลงไปทางไหล่ขวา ฉันสามารถพิจารณาพระพักตร์ ส่วนแขนที่ถูกโบย และเนื้อหนังที่เหวอะหวะ ทรวงอกด้านขวามีรอยแผล พระองค์บาดเจ็บ มีเลือดทะลักออกมาทางซีกซ้ายและซีกขวาเหมือนกับสายธารระยิบระยับ ดูเหมือนลำแสงพุ่งออกมาเป็นสายไปทางสัตบุรุษ แล้วเคลื่อนไปทางขวา แล้วก็ทางซ้าย ฉันทึ่งกับปริมาณเลือดที่ไหลชโลมจอกกาลิกษ์ ฉันนึกว่าเลือดจะไหลล้นออกมาอาบพระแท่น แต่กลับไม่มีสักหยดที่กระเซ็นออกมา
ในช่วงนั้นเอง แม่พระตรัส...
“นี่คืออัศจรรย์เหนืออัศจรรย์ทั้งหลาย แม่เคยบอกลูกแล้วว่า องค์พระผู้เป็นเจ้ามิได้ถูกจำกัดด้วยเวลาและสถานที่ พอถึงช่วงบทขอบพระคุณนั้น ผู้มาร่วมพิธีได้ถูกนำไปยังเชิงเขากัลวารีโอ ในเวลาที่พระเยซูเจ้าถูกตรึงกางเขน”
ใครเล่าจะคาดคิดได้ เรามองไม่เห็นด้วยตาเปล่า แต่เราทุกคนไปอยู่ที่นั่นจริง ในห้วงเวลาที่พวกเขาตรึงกางเขนพระเยซูเจ้า แล้วพระองค์กำลังวอนขอให้พระบิดาประทานอภัยให้เราแต่ละคนที่ได้ทำบาปด้วย มิใช่เฉพาะคนที่ประหารพระองค์เท่านั้น
“พระบิดาเจ้าข้า โปรดอภัยความผิดแก่เขาเถิด เพราะเขาไม่รู้ว่ากำลังทำอะไร”
นับจากวันนั้นมา ฉันได้แต่ขอให้ทุกคนคุกเข่า และพยายามทุ่มเทจิตใจให้กับสิทธิพิเศษ ที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงมอบให้เรานี้
พอถึงตอนที่เราเริ่มจะสวดบทข้าแต่พระบิดา องค์พระผู้เป็นเจ้าเริ่มตรัสเป็นครั้งแรก
“ช้าก่อน เราต้องการให้ลูกสำรวมจิตใจสวดอย่างจริงจัง ในช่วงเวลานี้ จงระลึกถึงคนที่เคยมุ่งร้ายต่อลูกในช่วงชีวิตของลูก เพื่อว่าลูกจะได้กอดเขาไว้แนบอก และบอกเขาอย่างจริงใจว่า
‘เดชะพระบารมีของพระเยซูเจ้า ฉันยกโทษให้คุณ และขอให้คุณประสบสันติสุข เดชะพระบารมีของพระเยซูเจ้า ฉันขอให้คุณยกโทษให้ฉัน และขอให้คุณอวยพรให้ฉันประสบสันติสุข’
ถ้าคนคนนั้นคู่ควรจะได้รับความสงบสุขนั้น เขาก็จะได้รับและรู้สึกดีขึ้น ถ้าหากว่าคนคนนั้นไม่สามารถเปิดใจรับสันติสุขได้ สันติสุขนั้นก็จะกลับมาอยู่ในจิตใจของลูก แต่เราไม่ต้องการให้ลูกรับหรือมอบสันติสุขให้ใคร ถ้าลูกให้อภัยไม่ได้ และไม่ได้ซาบซึ้งถึงสันติสุขในจิตใจตั้งแต่แรก”
พระองค์ตรัสต่อ “จงรอบคอบในสิ่งที่ลูกทำ ถ้าลูกกล่าวตามบทข้าแต่พระบิดาว่า ‘โปรดประทานอภัยแก่ข้าพเจ้า เหมือนข้าพเจ้าให้อภัยแก่ผู้อื่น’ ถ้าลูกสามารถให้อภัย แต่ยังฝังใจอยู่ ก็เหมือนกับที่บางคนกล่าวไว้ว่า ลูกกำลังวางเงื่อนไขกับการให้อภัยของพระเป็นเจ้า ลูกกำลังบอกว่า พระองค์ยกโทษให้ลูกเท่าที่ลูกสามารถยกโทษให้คนอื่นก็พอ”
ฉันไม่รู้จะแจกแจงความเจ็บปวดของฉันได้อย่างไร เมื่อสำนึกได้ว่าเราทำร้ายองค์พระผู้เป็นเจ้า และทำร้ายตัวเราเองได้มากมายขนาดไหน จากการผูกใจเจ็บ เก็บความรู้สึกที่ไม่ดีไว้ มีอคติ มองเห็นแต่ข้อบกพร่องของคนอื่น แล้วก็ขุ่นเคืองง่ายเกินเหตุ
ฉันให้อภัยแล้ว... ฉันให้อภัยแล้วจากใจจริง และขอให้ทุกคนที่ฉันเคยทำให้เสียใจ โปรดยกโทษให้ฉันด้วย เพื่อฉันจะได้ซาบซึ้งถึงสันติสุขขององค์พระผู้เป็นเจ้า
ประธานในพิธีกล่าว... “โปรดให้พระศาสนจักรสงบราบรื่น มีสามัคคีธรรม...” แล้วหลังจากนั้น “ขอให้สันติสุขของพระคริสตเจ้า สถิตกับท่านทั้งหลายเสมอ”
ทันใดนั้น ฉันเห็นว่าในบรรดาคนที่กอดกันอยู่นั้น (ไม่ทุกคน) มีแสงแรงกล้ามาแทรกตรงกลางระหว่างเขา ฉันรู้ว่านั่นคือพระเยซูเจ้า ฉันโผเข้ากอดคนที่อยู่ถัดจากฉันได้อย่างสะดวกใจ ฉันสามารถสัมผัสอ้อมกอดขององค์พระผู้เป็นเจ้าได้จริงๆ เป็นพระองค์นั่นเองที่กอดฉัน เพื่อมอบสันติสุขของพระองค์ให้แก่ฉัน เพราะในขณะนั้น ฉันสามารถให้อภัยและขจัดความขุ่นใจต่อคนอื่นสำเร็จ นั่นคือสิ่งที่พระเยซูเจ้าปรารถนา เพื่อแบ่งปันห้วงเวลาแห่งความชื่นชมยินดีร่วมกัน พระองค์กอดเรา และมอบสันติสุขของพระองค์ให้แก่เรา
พอถึงช่วงที่พระสงฆ์รับศีลมหาสนิท ฉันถึงได้เห็นพระสงฆ์ทุกองค์ที่อยู่ถัดจากพระอัครสังฆราช พอพวกท่านรับศีลมหาสนิท แม่พระตรัสดังนี้
“นี่เป็นช่วงเวลาที่จะภาวนาให้แก่ประธานและพระสงฆ์ที่ร่วมพิธี จงสวดภาวนาพร้อมกับแม่ดังนี้
‘พระเจ้าข้า โปรดอวยพรพวกท่าน โปรดบันดาลให้พวกท่านศักดิ์สิทธิ์ โปรดช่วยเหลือพวกท่าน โปรดรักพวกท่าน โปรดดูแลพวกท่านและค้ำจุนพวกท่านด้วยความรักของพระองค์ โปรดทรงระลึกถึงพระสงฆ์ทุกองค์ทั่วโลก โปรดภาวนาให้แก่วิญญาณผู้ถวายตัวทั้งหลาย’...”
พี่น้องที่รัก ตอนนั้นเป็นช่วงเวลาที่เราควรภาวนาให้พระสงฆ์ เพราะพวกท่านคือพระศาสนจักรเช่นเดียวกับเราผู้เป็นฆราวาส บ่อยครั้งที่ฆราวาสอย่างเราๆ เรียกร้องจากพระสงฆ์มากเหลือเกิน แต่เรากลับสวดให้พวกท่านไม่ได้ เราควรเข้าใจว่าพระสงฆ์ก็เป็นมนุษย์ปุถุชนเหมือนกับเรา และพวกท่านต้องการให้เราเข้าใจพวกท่าน พวกท่านต้องการความรัก ความเมตตา และความเอาใจใส่จากเรา เพราะพวกท่านได้อุทิศชีวิตของท่านให้เราแต่ละคน เหมือนกับที่ท่านได้ถวายตัวแด่พระเยซูเจ้าแล้ว องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงต้องการให้ประชากรที่ทรงมอบหมายไว้กับพระสงฆ์ สวดภาวนาให้พระสงฆ์ศักดิ์สิทธิ์ สักวันหนึ่ง เมื่อเราอยู่อีกโลกหนึ่งแล้ว เราจะเข้าใจสิ่งน่าพิศวง ที่องค์พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงกระทำมา ด้วยการมอบพระสงฆ์ให้ช่วยเหลือวิญญาณของเราให้รอด
ผู้คนเริ่มลุกจากที่นั่งไปรับศีลมหาสนิท ถึงช่วงเวลายิ่งใหญ่แห่งการพบกันแล้ว องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับฉันว่า
“รอสักนิด เราอยากให้ลูกดูบางอย่าง...”
ฉันเงยหน้าขึ้นมอง เห็นผู้หญิงคนหนึ่งในกลุ่มของเราที่ไปแก้บาปก่อนเข้ามิสซา กำลังรับศีลด้วยปาก พอพระสงฆ์วางแผ่นศีลลงบนลิ้นของเธอนั้น มีแสงสีขาวออกทองแผ่กำจายเข้าสู่ตัวเธอ โอบด้านหลังแล้วแผ่มาที่ไหล่ แล้วก็ที่ศีรษะของเธอ องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า
“วิธีนี้แหละที่ทำให้เราปลื้มใจ ที่ได้โอบกอดวิญญาณหนึ่ง ผู้มารับเราด้วยหัวใจที่ใสสะอาด”
พระสุรเสียงของพระองค์เหมือนคนที่กำลังเบิกบานใจ ฉันตะลึงเมื่อเห็นเพื่อนคนนี้เดินกลับที่ โดยมีแสงรอบตัวเธอ และองค์พระผู้เป็นเจ้าโอบกอดเธออยู่
ฉันฉุกนึกถึงความมหัศจรรย์ที่เราพลาดไปหลายต่อหลายครั้ง เพราะเราเดินไปรับพระเยซูเจ้า ทั้งๆ ที่เรายังมีบาปเบาหรือบาปหนัก เรามักแก้ตัวว่าไม่มีพระสงฆ์ฟังสารภาพบาปในช่วงที่กำหนดไว้ ปัญหากลับไม่ได้อยู่ตรงนั้น หากอยู่ที่เราปล่อยใจให้ตกอยู่ในความชั่วอีกเหมือนเดิม
ผู้หญิงมักเข้าร้านเสริมสวย ส่วนผู้ชายก็ไปตัดผมเสียก่อนไปงานรื่นเริงฉันใด เราก็ควรพยายามมองหาพระสงฆ์ เพื่อขจัดความสกปรกออกจากวิญญาณเราก่อนไปรับศีลฉันนั้น เราไม่ควรบุ่มบ่ามไปรับพระเยซูเจ้า เมื่อจิตใจของเราเต็มไปด้วยความอัปลักษณ์
พอฉันเดินไปรับศีลมหาสนิท พระเยซูเจ้าบอกฉันว่า
“อาหารค่ำมื้อสุดท้าย คือช่วงเวลาที่เราได้ใกล้ชิดลูกของเรามากที่สุด ระหว่างช่วงเวลาแห่งความรักนั้น เราได้ตั้งสิ่งซึ่งมนุษย์มองว่าเป็นการกระทำที่วิกลจริต และทำให้เราเป็นจำเลยรัก เราได้ตั้งศีลมหาสนิท เราอยากอยู่กับลูกต่อไปจวบจนสิ้นยุค เพราะเรารักลูกเกินกว่าจะทนให้ลูกๆ ที่เรารักยิ่งชีวิตนั้น ต้องอยู่อย่างไร้ที่พึ่ง”
แผ่นศีลที่ฉันรับคราวนั้น มีรสชาติต่างไปจากเดิน เหมือนกับเลือดผสมกำยานที่ซาบซึมไปทั่วสรรพางค์ ฉันสัมผัสรู้ถึงความรักที่เปี่ยมล้นจนกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ ฉันเดินกลับไปที่คุกเข่า องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัส
“ฟังสิ...”
ต่อมาสักพัก ฉันเริ่มได้ยินคำภาวนาในใจของผู้หญิง ที่นั่งอยู่แถวหน้าที่เพิ่งไปรับศีลมา สิ่งที่เธอภาวนาในใจอยู่ประมาณว่า
‘พระเจ้าข้า นี่ก็ใกล้สิ้นเดือนแล้ว ลูกยังไม่มีปัญญาจ่ายค่าเช่าบ้าน ค่าส่งรถ กับค่าเล่าเรียนของลูกๆ เลย พระองค์ต้องหาทางช่วยลูกนะ’
‘ได้โปรดเถิด อย่าให้สามีของลูกเมาหัวราน้ำแบบนี้ ลูกชักจะทนไม่ไหวแล้ว ลูกคนสุดท้องก็ต้องเรียนซ้ำชั้นแน่ ถ้าพระองค์ไม่ช่วย เขาต้องสอบอาทิตย์นี้แล้ว...’
‘แล้วก็โปรดอย่าลืมเพื่อนบ้านของเราที่ต้องย้ายออกไปรายนั้นด้วย โปรดให้เธอย้ายออกทันที ลูกทนเธอไม่ได้อีกแล้ว...’
พระอัครสังฆราชกล่าว “ให้เราภาวนา” แล้วบรรดาพระสงฆ์ก็ยืนขึ้นสวดบทภาวนาปิดพิธี พระเยซูเจ้าตรัสอย่างเศร้าสร้อย
“ลูกสังเกตคำภาวนาของเธอไหม ไม่มีช่วงไหนเลยที่เธอบอกว่าเธอรักเรา เธอไม่ขอบคุณเราสักนิด ที่เรามอบพระพรให้เธอ ด้วยการลดความเป็นพระเจ้าของเรา ลงมาสู่ความเป็นมนุษย์ท่น่าสงสารของเธอ เพื่อยกย่องเธอขึ้นมาหาเรา ไม่มีคำพูดแม้สักคำว่า ‘ขอบพระคุณพระองค์พระเจ้าข้า’ นี่เป็นบทร่ำวิงวอนเหมือนกับของลูกๆ แทบทุกคนที่มารับเรา”
“เรายอมตายก็เพราะรัก และเราได้กลับคืนชีพแล้ว เราเฝ้าคอยลูกแต่ละคนเพราะรัก และเรายังอยู่กับลูกก็เพราะรัก... แต่ลูกมิได้รู้สำนึกเลยว่าเราต้องการความรักจากลูก จำไว้เถิดว่าเราเป็นผู้มาวอนขอความรักในวาระที่สูงส่งสำหรับวิญญาณนี้”
พวกท่านรู้หรือไม่ว่า พระองค์ผู้เป็นองค์ความรัก กำลังอ้อนวอนขอความรักจากเรา แล้วเราไม่ได้มอบความรักแด่พระองค์ มิหนำซ้ำ เรายังเลี่ยงที่จะพบองค์ความรัก ผู้พลีชีวิตเป็นเครื่องบูชานิรันดรเพียงเพราะความรัก
ตอนที่ประธานในพิธีกล่าวอวยพร แม่พระตรัส...
“จงตั้งใจให้ดี... ลูกทำเครื่องหมายแบบเก่าแทนที่จะทำสำคัญมหากางเขน จงระลึกไว้ว่า การอวยพรครั้งนี้อาจเป็นครั้งสุดท้ายที่ลูกจะได้รับจากพระสงฆ์ ลูกไม่รู้หรอกว่าลูกจะอยู่หรือจะตาย เมื่อออกจากวัดไปแล้ว ลูกไม่รู้หรอกว่าลูกจะมีโอกาสรับพระพรจากพระสงฆ์องค์อื่นอีกหรือไม่ มือผู้ถวายตัวแด่พระเป็นเจ้าแล้ว กำลังมอบพระพรให้ลูกเดชะพระนามพระตรีเอกภาพ ด้วยเหตุนี้ จงทำสำคัญมหากางเขนด้วยความเคารพ ราวกับเป็นการทำสำคัญมหากางเขนครั้งสุดท้ายในชีวิตของลูก”
คนจำนวนมากมายขาดวัดวันอาทิตย์ด้วยข้ออ้างที่ฟังไม่ขึ้น เช่น พวกเขามีลูก 2-10 คน เลยมาวัดไม่ได้ แล้วคนเราจัดการกับสิ่งที่เขายึดมั่นกันอย่างไร เขาเอาลูกๆ มาด้วย หรือไม่ก็ผลัดกันเข้ามิสซาคนละเวลา เรามักมีเวลาให้กับการศึกษาหาความรู้ การทำงาน การหาความสำราญ การพักผ่อนเสมอ แต่เราไม่มีเวลาแม้แต่มาร่วมมิสซาในวันอาทิตย์
พระเยซูเจ้าขอให้ฉันอยู่กับพระองค์อีกสัก 2-3 นาที หลังมิสซาเลิก พระองค์ตรัสว่า
“หลังมิสซาจบแล้ว อย่าเพิ่งรีบไป จงอยู่เป็นเพื่อนเราสักครู่หนึ่ง แล้วให้เราได้อยู่กับลูก...”
ฉันเคยได้ยินมาว่าองค์พระผู้เป็นเจ้ายังอยู่กับเราอีก 5-10 นาทีหลังรับศีล ฉันเลยถือโอกาสถามพระองค์เรื่องนี้
“พระเจ้าข้า จริงๆ แล้ว พระองค์อยู่กับพวกเรานานแค่ไหนหลังรับศีลมหาสนิท”
พระองค์ตอบว่า “เราอยู่กับลูกตลอดเวลาที่ลูกต้องการให้เราอยู่นั่นแหละ ถ้าหากลูกพูดคุยกับเราตลอดวัน เรารับฟังลูกเวลาที่ลูกพูดกับเราระหว่างทำงานบ้าน เราอยู่กับลูกตลอดเวลา ลูกนั่นแหละเป็นฝ่ายที่จากเราไปเมื่อเลิกมิสซา หรือเมื่อวันฉลองบังคับสิ้นสุดลง ลูกถือวันของพระเจ้าก็จริง และตอนนี้ก็หมดหน้าที่ของลูกแล้ว ลูกไม่ได้คิดหรอกว่าเราอยากมีส่วนร่วมกับชีวิตครอบครัวของลูก อย่างน้อยก็ในวันนั้น”
“ในบ้านของลูกๆ ลูกมีพื้นที่สำหรับทุกๆ สิ่ง แล้วก็มีห้องสำหรับกิจกรรมแต่ละอย่าง ลูกมีห้องสำหรับนอน สำหรับทำอาหาร สำหรับรับประทานอาหาร และอื่นๆ แล้วตรงไหนหรือที่ลูกเตรียมไว้ให้เรา ที่นั่นไม่ควรเป็นที่ที่มีแต่รูปบูชารูปหนึ่ง ที่วางทิ้งไว้ให้ฝุ่นจับตลอดเวลาเท่านั้น แต่ควรเป็นที่ที่สมาชิกในบ้านร่วมกันขอบพระคุณสำหรับวันๆ นั้น สำหรับพระพรแห่งชีวิต สำหรับวอนขอสิ่งที่เขาต้องการแต่ละวัน สำหรับวอนขอพระพร ขอการปกป้องคุ้มครอง ขอสุขภาพที่ดี อย่างน้อยก็วันละสักห้านาที ลูกมีพื้นที่สำหรับทุกๆ อย่างในบ้านของลูก แต่ลูกไม่มีที่สำหรับเรา”
“มนุษย์กำหนดแผนการของวัน ของสัปดาห์ ของภาคเรียน ของการพักร้อน และอื่นๆ ของตน เขารู้ว่าวันไหนจะพัก วันไหนจะไปดูหนังหรือไปงานรื่นเริง หรือไปเยี่ยมคุณย่า-คุณยาย หรือเยี่ยมลูกหลาน พบเพื่อนฝูง หรือไปหาความสำราญ มีกี่ครอบครัวกันที่อย่างน้อยๆ เดือนละครั้ง คุยกันว่า ‘วันนี้เราควรเป็นฝ่ายไปหาพระเยซูเจ้าในตู้ศีลบ้าง’ แล้วทั้งครอบครัวก็มาเฝ้าศีลเพื่อพูดคุยกับเรา มีสักกี่คนกันที่มานั่งตรงหน้าเรา และสนทนาพูดคุยกับเรา เล่าสารทุกข์สุกดิบตั้งแต่พบกันครั้งก่อนให้เราฟัง เพื่อปรับทุกข์ เพื่อขอสิ่งที่เขาต้องการจากเรา เพื่อให้เรามีส่วนร่วมในเรื่องเหล่านี้ มีสักกี่ครั้งกัน”
“เราล่วงรู้ทุกอย่าง รู้แม้กระทั่งความลับที่ฝังลึกอยู่ในความคิดจิตใจของลูก แต่เราชอบให้ลูกเล่าความเป็นไปในชีวิตให้เราฟัง เราพอใจที่ลูกให้เรามีส่วนร่วมเหมือนกับสมาชิกในครอบครัวของลูกคนหนึ่ง เหมือนเพื่อนสนิทของลูกคนหนึ่ง โอ้มนุษย์ช่างสูญเสียพระหรรษทานไปมากมายกระไรหนอ เมื่อเขาไม่มีพื้นที่ให้เราอยู่ในชีวิตของเขา !”
“เราต้องการช่วยสิ่งสร้างของเราให้รอด เพราะในช่วงที่เปิดประตูสู่สวรรค์นั้น ท่วมล้นไปด้วยความเจ็บปวดทรมาน... ระลึกไว้เถิดว่าไม่มีแม่คนไหนที่เอาเนื้อของนางเองมาเลี้ยงลูกของตนหรอก เราบรรลุถึงความรักระดับสูงที่สุดแล้ว เพื่อถ่ายทอดบุญกุศลองเรามายังลูกทุกคน”
“มิสซาคือตัวเราเองที่ยืดชีวิตของเราออกไป มิสซาเป็นเครื่องบูชาของเราบนไม้กางเขนท่ามกลางพวกลูก ปราศจากบุญกุศลแห่งชีวิตและโลหิตของเราแล้ว ลูกมีอะไรที่จะนำมาถวายเฉพาะพระพักตร์พระบิดาเล่า ไม่มีเลย... มีแต่ความน่าเวทนาและบาป...”
“ลูกสมควรจะมีคุณสมบัติที่ดีและน่าชื่นชมเหนือกว่าเทวดาและอัครเทวดา เพราะว่าเทวดาไม่มีโอกาสได้ชื่นชมยินดีกับการรับเราเป็นอาหารหล่อเลี้ยงวิญญาณอย่างที่ลูกได้รับ พวกเขาดื่มจากพุน้ำได้หยดเดียว แต่ลูกที่มีพระหรรษทานในการรับเรานั้น มีทั้งมหาสมุทรให้ดื่มกิน”
อีกเรื่องที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเอ่ยถึงด้วยความปวดร้าวนั้น เกี่ยวข้องกับคนที่มาพบพระองค์ด้วยความเคยชิน คนที่หมดความเลื่อมใสยำเกรงในการพบพระองค์แต่ละครั้ง ความจำเจเปลี่ยนให้บางคนเย็นเฉย จนเขาไม่มีอะไรใหม่ๆ มาเล่าให้พระเยซูเจ้าฟังเวลาเขารับพระองค์ พระองค์ตรัสด้วยว่า วิญญาณผู้ถวายตัวจำนวนไม่น้อย หมดความร้อนรักพระองค์แล้ว ทำให้กระแสเรียกของเขาเป็นเพียงอาชีพอาชีพหนึ่ง เป็นอาชีพที่ไม่มีอะไรจะให้อีกแล้ว เว้นแต่ในสิ่งที่คนเรียกร้อง แต่เป็นการให้ที่ไร้ความรู้สึก...
แล้วพระองค์เอ่ยถึง ผลที่ควรเกิดจากการที่เรารับศีลมหาสนิทแต่ละครั้ง มีคนที่รับพระองค์ทุกวัน แต่ไม่ได้เปลี่ยนวิถีชีวิตเลย เขาใช้เวลาสวดภาวนานานหลายชั่วโมง เขาสร้างผลงานหลายอย่าง แต่ชีวิตกลับไม่ได้เปลี่ยนสภาพ บุญกุศลที่เราได้รับในมิสซา ควรส่งผลให้เรากลับใจ และมีความรัก ความเมตตาต่อบรรดาพี่น้องของเรา
เราผู้เป็นฆราวาส มีบทบาทสำคัญในพระศาสนจักร เราไม่มีสิทธิ์เงียบเสียง เพราะพระได้ส่งเราออกไปประกาศพระวรสาร ในฐานะที่เราทุกคนได้รับศีลล้างบาปแล้ว เราไม่มีสิทธิ์ซึมซับรับความรู้นี้ไว้คนเดียวโดยไม่แบ่งปันให้ผู้อื่น แล้วปล่อยให้พี่น้องของเราต้องอดตาย ในขณะที่เรามีอาหารเหลือเฟืออยู่ในมือ เราควรไปเยี่ยมเยียนคนเจ็บหนักที่หมดทางเยียวยาแล้ว ช่วยเขาด้วยการสวดสายประคำพระเมตตา และสวดภาวนาให้เขาหลุดพ้นจากกับดักและการประจญล่อลวงของปีศาจ คนใกล้ตายทุกคนล้วนมีความกลัว ขอเพียงเรากุมมือ และพูดคุยกับเขาเกี่ยวกับความรักของพระเยซูเจ้าและแม่พระ เกี่ยวกับความมหัศจรรย์ที่รอคอยเขาอยู่ในสวรรค์ เคียงข้างบรรดาผู้ล่วงลับเพื่อบรรเทาใจเขา
ช่วงเวลาที่เรามีชีวิตอยู่ในเวลานี้ ทำให้เราไม่อาจนิ่งดูดายได้ เราควรยื่นมือเข้าไปช่วยในส่วนที่พระสงฆ์ไปไม่ถึง แต่สำหรับเรื่องนี้ เราต้องการความกล้าหาญ เราควรรับพระเยซูเจ้า เราควรดำรงชีวิตกับพระเยซูเจ้า เราควรหล่อเลี้ยงตัวเราเองด้วยพระเยซูเจ้าเสียก่อน
องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า จงแสวงหาพระอาณาจักรของพระเจ้า และความชอบธรรมของพระองค์ก่อน แล้วพระองค์จะเพิ่มสิ่งเหล่านี้ให้ (มธ.6:33) พระองค์ตรัสทั้งประโยค หมายถึงการแสวงหาพระอาณาจักรของพระเจ้าทุกวิถีทาง และเท่าที่ทำได้ แล้วรอรับทุกสิ่งนอกเหนือจากนี้ เพราะพระองค์เป็นผู้เดียว ที่เอาใจใส่ในความต้องการที่เล็กน้อยที่สุดของเรา
ขอขอบพระคุณพี่น้อง ที่ให้โอกาสฉันทำหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายมานี้ได้อย่างลุล่วง ฉันรู้ว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าจะทำตามคำมั่นสัญญาของพระองค์ ที่ว่า
“มิสซาของลูกจะไม่มีวันเหมือนเดิมอีกต่อไป”
และขอให้ท่านรักพระองค์ด้วย เวลาที่ท่านรับพระองค์ในศีลมหาสนิท !
ขอพระเป็นเจ้าอวยพรท่าน
แคทาลีน่า รีวาซ
ฆราวาสแพร่ธรรม
Eucharistic Heart Of Jesus